วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Nuvo concert ...กับความเซ็งที่งานคราวนีfeedback ไม่ดี

ีNuvo concert ...ขอบ่นหน่อยละกัน..
ทุกๆปีผมจะต้องมีงานที่มีปัญหา ปีละครั้ง ปีที่แล้วงานแถลงข่าว atime yearplan
มาปีนึ้เป็นงาน concert Nuvo ซะ ทั้งๆที่อันนี้ก็ตั้งใจทีทำนะ
งานนี้เป้นงานที่วุ่นวายพอสมควร เนื่องจากมีหลาย party มาก
คนโน้น ชอบ คนนี้ไม่ชอบ วงเปลี่ยน เรียงเพลงสลับตลอดเวลา
ผมเองก็ดูเรียงเพลงก็เห็นปัญหา ได้แต่บอกว่ามันไม่น่าwork แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะคนสรุปเรื่องเพลงไม่ใช่ผม ยิ่งหลังๆผมยิ่งไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ลูกค้าก็คงยิ่งรำคาญ
เพราะหน้าที่ผมก็ไม่ได้เกี่ยวกับการเรียงเพลงโดยตรง หลังๆเลย พอ แล้วก็ทำหน้าที่production designต่อดีกว่า

ท้ายสุดก็มาวุ่นวายตอนที่ทางsonyไม่ชอบgraphicผมเลย แทบจะทั้งหมด ต้องมาวุ่นวายหาอะไรมาใส่แทนที่ขาด ลำพังงานก็ยังต้องมีแต่งแต้มต่ออีก พอมาโดนแก้คืนสุดท้าย ก็วุ่นวายมากเลย แล้วนอกจากนั้น ยังมาจำกัดการเล่นgraphicอีก ไม่ให้เล่นอันนั้น อันนี้ ทั้งๆ ที่มันควรจะเล่นgraphic ก็เลยออกมาตามยถากรรม
แต่รวมๆจริงๆผมว่ามันก็ไม่ได้แย่มากนะ แต่พอไปดูfeedbackใน web Pantip
กลับโดนด่า!!! อันนี้คืออันที่เซ็งสุด เพราะทำงานมาไม่เคยโดนด่า มีอันนี้โดนเต็มๆ
เรื่องProduction!!!

พออ่านที่เค้าบ่นก็ย้อนทำให้เซ็งหลายๆเรื่อง
ที่โดนมากคือเรียงเพลง ซึ่ีงเตือนแล้ว และเป็นอะไรที่ผมบอกตลอด
เพราะ มันสำคัญ มันคือหัวใจของงาน ถ้าอันนี้ไม่ดี ก็จะทำให้ภาพรวมดูไม่ดีไปหมด
ต่อมาคือเรื่องเวที เค้าบอกว่าธรรมดามาก ก็ตามงบนะ จริงๆระหว่างการทำงานก็พยายามแทรก อะไรหวือหวาลงไปแต่ท้ายสุดโดนตัดออกหมด เช่นดังภาพที่เอามาให้ดูต่อไปนี้
มีsceneผ้าคลุมจออยู่ กับstageลอยลงมาจากด้านบนเพื่อให้พี่ก้อง พี่โจไปSolo อย่างงี้
ส่วนเรื่องไฟนีออน เค้าบอกว่าเหมือนงานวัด ...อือม ...อันนี้ผมกลับชอบนะ
พอเล่นกับเพลงมันก็เข้ากันดี สนุกดี ก็แนบรูปมาให้ดู ให้พิจารณากันเอง ว่างานวัด รึเปล่า



แต่ผมเข้าใจorganizerนืดนึงนะ ว่างบมันมาน้อย ก็เลยต้องตัด อันนี้ก็ไม่รู้จะโทษใครดี

เรื่องต่อมาคือภาพสดบนจอ อันนี้นี่เค้าว่ามุมมันไม่สวย และตัดอะไรมาไม่รู้เรื่อง
ก็ยอมรับว่ามุมมันไม่สวยและบางทีตัดอะไรมาก็ไม่รู้
ก็คราวนี้มีกล้องให้ผมอยู่3ตัว สำหรับภาพสด และเพิ่งได้มาวันshow
จริงๆถ้าผมไม่ต้องไปง่วนเรื่องgraphic(ที่จะบ่นเป็นเรื่องสุดท้าย) ผมก็คงมีเวลามานั่งซักซ้อมมากกว่านี้
และจริงๆที่วางไว้ภาพสดก็น้่อยกว่านี้เยอะมาก แต่ลูกค้ากลับบอกว่าไม่อยากได้graphicเยอะ ก็เลยตัดสดขึ้นมามากหน่อย
ผลเลยออกมาเป็นอย่างงี้ แต่ก็อย่างว่า ถ้ามีกล้องแค่ 3 ตัว และ switcher ที่ไม่Professional อย่างนี้ มันก็คงออกมาได้แค่นี้

เรื่องสุุดท้าย เรื่อง graphic อันนี้ ผมยอมรับผิดส่วนนึง เนื่องจากมีเวลาน้อย และมีการเปลี่ยนแปลงเพลงบ่อย source ภาพก็ได้มาช้าและน้อย
ผมจึงใช้เวลากับมันไม่เยอะพอ ก็คงทำให้คุณภาพจากมาตราฐานผม มันตกลงไปบ้าง แต่ผมก็ดูแล้วว่ามันไม่ได้แย่อะไรมาก
comment จาก pantip บอกว่าgraphicธรรมดามาก ซึ่งผมก็วางไว้ว่ามันจะมีhi-light ของgraphicบ้าง ในแต่ละช่วง บางช่วงก็แค่support
มีอยู่อันนีึง เป็นgraphicที่ผมทำมาเพื่อแก้เลี่ยนตรงที่ช่วงshowมันน่าเบื่อเป็นcartoon(ดูด้านล่าง) ลูกค้าก็ว่ามันเด็กไป หรือ
medley ที่ทำมาเพื่อให้คนดูสนุก ลูกค้าก็บอกว่าแสบตา ลูกค้าไปชอบไฟ ที่ผมเฉยๆมากแต่ใส่ให้พี่หนุ่ยไว้ เพื่อแก้เลื่ยนเท่านั้น
แล้วท้ายสุดก็โดนด่าว่าเชย ทั้งๆที่ไอ้อันที่เค้าว่าเชย มันเป็นbriefทั้งนั้น เช่น ตัดfoot ใต้ทะเล ตัดfoot โลกถูกทำลาย โลกสวยงาม เปลวไฟ... อะไรที่create ใหม่โดนตัด.ซะงั้น นี่ถ้าorganizerไม่ช่วยเถึยงเรื่องgraphicเพลงถังขยะเลย นี่ ก็คงโดนตัดอีก

ยื่งmedleyท้าย ในวันเล่นยิ่งแล้วใหญ่เค้าบอกว่าไม่เอาอะไรที่แสบตา ทีมผมก็ต้องตาลีตาเหลือกไปเอาอันอื่นๆมาใส่ แล้วก็ไม่มีใครกล้า
Mix visual เลย เพราะลูกค้ายังเดินเข้ามาจิกไว้ก่อนเพลงเลยว่าห้ามเล่น มันเลยออกมาเป็นwindow mediaอย่างที่เค้าด่า
แต่โดยรวมที่มันดูไม่เรียบร้อย ก็มีสาเหตุหลายๆอย่าง ตั้งแต่เวลาsetงานน้่อยมาก ทำให้ทุกอย่างเร่งไปหมด
เรียงเพลงกับscriptไม่ดี เลยมำให้องค์รวมดูไม่ดี และproductionที่ไม่อลังการ ส่วนgraphicก็คงจะไม่แรงพอ
แต่จริงๆมันคงออกมาดีกว่านี้ ถ้าผมไม่โดนลูกค้าcommentในคืนก่อนเล่นมากเพราะตั้งใจจะไปเก็บงานอื่นๆที่เหลือให้เนียบ
แต่ท้ายสุดกลายเป็นว่าต้องมานั่งแก้งานเกือบหมด
ความรู้สึกส่วนตัว ผมก็จ๋อยไปตามระเบียบ เพราะเป็นคนที่เหนื่อยเท่าไหร่ก็ได้ งานจะได้เงินน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามให้ออกมาห่วยจนโดนด่า
แต่ท้ายสุดก็ไม่เป็นไปอย่างงั้น งานนี้ผลลัพท์เลย ทำให้ผมเซ็งมากทีเดียว ...ก็ต้องให้มันผ่านไป โดยเอาความผิดนี้ไว้เป็นบทเรียน

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความจ๋อยของนายหุย

วันนี้นอกเรื่องนิดนึง แต่ก็อยากเขียนไว้ขำๆ
เมื่อวานซืนต้องไปถ่ายคิว VTR เปิดหัวconcert NUvo Now showing
ไอ้เราก็อยากได้เปิดตัวเท่ห์ๆ ก็เลยอยากถ่ายVTRแบบเหมือนcommando
ลงมาจากhelicopter เพื่อมาเล่นconcert
ก็จะตรงกับอารมณ์เพลงแรกพอดี คือหน่วยกล้าอาย

พอไปถึง ได้ผมเองก็ไม่ได้ดูboardละเอียด น้องก็briefคร่าวๆ
เพราะราคาที่เราเสนอไว้ไม่ได้รวมค่าถ่ายไว้ ก็เลย ให้ทางorganizer จัดหาทีมกล้องให้
ไอ้เราก็คิดว่าคงมี ไฟ กล้องแบบดีดีหน่อยสักตัว ไฟ800สัก 3-4 ตัวพร้อมลูกมือจัดไฟ
เอาเข้าจริงๆ ปรากฎเป็นไอ้หนุ่มร่างโย่งพร้อมกล้องhome DVง่อยๆหนึ่งอัน
ประมาณว่ากำลังจะไปhome video เบื้องหลังดารายังไงยังงั้น แต่ตอนนั่นผมก็แปลกนะที่
ไม่ได้คิดไรเลย ก็ยังคิดว่าใช้ๆไอ้กล้องนี้ก็ได้ ส่วนน้องที่office(น้องชม)ก็ลกๆกะการหาตากล้อง
ใหม่ดีดี กลัวเสียlook กลัวถ่ายออกมาห่วย ส่วนผมนั่งChill เฉยๆ ไม่ได้ร้อนใจใดๆ

พอเอาเข้าจิงๆ แหม่..เล่นกะใครไม่เล่น เล่นกะNUVO
แต่ละคนเก๋าเกมส์ คล่องมาก นับถอยหลังเข้าrecordเอง
ไอ้เราพอเจอเวลาจิงที่มีให้โคตรน้อย ก็ลกมากๆๆ จัดไฟจัดกล้องเอง
จะวางกล้องบนขาตั้งกล้อง(ขานี่ก็ยืมเค้ามา ไอ้ตากล้องร่างโย่ง
แม่งไม่เอาอะไรมาสักอย่าง แถมตอนถ่ายแม่งหนีไปไหนก็ไม่รู้อีก แต่ตอนนั้นก็ไม่สนใครละ
เอาตัวให้รอดในเวลาที่แสนจะจำกัดนั้นก็บุญละ)
Take แรกเราทำใจแข็ง ตะโกนนับ
5 4 3 2 ....... พี่โจกะลังจะพูด กูก็ตะโกนACTION!!
วงNuvo งง เป็นไก่ตาแตก พี่โจแกสวนเสียงขึ้นมาเลย แล้วก็นับใหม่เองเลย
ช่างเป็นความอับอายต่อประชาชีของตูอย่างมาก
หลังจากนั้นพี่โจ บ่นต่อ "บอกไว้ไอ้น้องนี่มันนับอะไรของมัน
มาสั่งActionกู กูละงง ตะโกนAction ไรวะ นี่มันVTRนะมึ้งงงงง มึงจะให้กู Actionไรวะ"
ผมจ๋อยสนิทงานนี้ มานั่งคิด เออ กูนับไรของก็วะนั่น
หลังจากนั้นก็ไร้ความมันใจ จากผู้กำกับภาพ กลายเป็นเด็กถือกล้อง
กะ เด็กจัดไฟไปในบัันดล พี่โจสั่งเองตลอด
เร็วกว่าผมจะคิดทันอีก (มืออาชีพมาก) ถ่ายไปเค้าก็บ่นไป
ว่ากล้องนี้แม่งกระจิ๋วจิงๆ มองแทบไม่เห็นเลย
ผมงี้หน้าหด หน้าแหก....ตัวหดเท่ามดเลย
ที่แย่คือทุกวันนี้น้องๆ แม่งแซวตลอด
เจอกันทีไร แม่งเรียกเรา พี่พล!!

5 4 3 2 .......ACTION!!!!!

เชี่ย.... ความนี้ผิดเป็นครูจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สามหนุ่มสามมุม กับ Encore จิงๆ ครั้งที่สองตั้งแต่ทำงานมา





จริงๆวันนึ้up ไปเรื่องนึงแล้ว ปกติจะหมดแรงพิมพ์ แต่บังเอิญไปload รูปจาก มือถือลงcom
เห็นรูป set(stage) ของ concert สามหนุ่มสามมุม ก็เลย มีแรงเขียนสักหน่อย

ในงานนี้teamผม support เรื่อง motion บนจอเป็นหลัก เรื่องแสงกับฉากไม่ได้ยุ่งเลย
คือจริงๆผมก็วุ่นหลายๆงาน แต่ดีที่ได้น้องชมมาศ (บุคคลากรคนสำคัญ )และทีม ทำให้งานออกมา
Ok เลย
ถ้าcommentในภาพรวมของshow ผมว่าออกมาok เลย ได้มาตราฐานของพี่บอย
(ชอบทำงานกะแกจริงๆ เพราะได้เรียนรู้ตลอดเวลา แกไม่ได้สอนผมหรอกนะ แต่แค่ดูเค้าและทีมเค้่าทำงานก็ เอามาพัฒนาตัวเองได้เยอะ)
แต่ก็จะเป็นแนวพี่บอยคือ script แข็งแรง( เรียกว่าเป๊ะได้เลย) คิวแม่น
Show ไม่เยิ่นเย้อ เลยทำให้คนดูค่อนข้างอิ่ม
set ของเค้าก็เป็นstyleเค้า คือจะมีกลิ่นของการทำฉาก ฉ้าก ฉาก อยู่พอสมควร
คือมีmass ที่จดจำได้ ( ผมไม่ค่อยได้ทำแนวนี้แล้วหลังๆ เพราะรู้สึกว่าเชย แต่เห็นเค้าแล้ว ก็ว่าจะหา
โอกาสทำset แบบมีโครงสร้างเยอะๆบ้าง ก็ไม่เลว น่าจะแก้เลี่ยนของงานผมไปได้บ้าง)
ยกตัวอย่างงาน Style exact เช่นthe star ตามภาพที่เห็นนี่






กลับมาที่Concert สามหนุ่ม ผมว่าน่าเสียดายไปนิดที่จอเล็กไปพอควร(น่าจะสูงจนปิดbandไปเลย ) ทำให้พลังที่จะส่งในแต่ละScene ลดลงไป
เพราะว่าในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะมีmass ของstage แข็งแรงเท่าไหร่ จอและแสงก็ยังคงเป็นหัวใจต่อDynamicของscene สูงอยู่ดี ทำให้ทีมผมก็เครียดและกดดันกันไป เพราะเวลาทำงานก็ค่อนข้างน้อย

แต่สรุปโดยรวมของshowก็ราบรื่น มีการแบ่งก้อนShowได้อย่างพอเหมาะพอควร ไม่ชวนให้ง่วง
ที่สำคัญคือจุดดีของพี่บอยคือความกระชับ แต่ต่อเนื่องทำให้ไม่ทันจะเบื่อก็มีอะไรให้ดูให้ชม
(ซึ่งก็อาจจะทำให้ขาดความสดไปบ้าง ยกเว้นช่วงอาตุ่ย ดูสดกว่าช่วงอื่นๆ
แต่นี่เป็นStyleของพี่บอยเค้าน่ะ ก็เข้าใจได้)
ก็เริ่มจากก้อนรวม แล้วก็ไปเน้นแต่ละคน แล้วก็แขกรับเชิญ จบด้วยก้อนรวม
เน้นไปที่สนุกและตลก ซึ่งเขียนScritpโดยทีมexact (ซึ่งขอบอกว่า ต้องเล่นกันโดยทีมExact
เท่านั้นจึงจะตลก เพราะเค้ามีจังหวะของเค้า เคยให้เค้าเขียนบทมาให้ทีมอื่นเล่น ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่)
งานนี้อาจจะมีข้อด้อยเรื่องการร้องไปบ้างโดยเฉพาะพี่แท่ง แต่พี่กบ ก็ช่วยให้Show เอาตัวรอดเรื่องนี้ไปได้บ้าง (แปลกใจที่พี่ตุ๊ก วิยะดา คราวนี้ร้องเพี้ยนเยอะทีเดียว)

ผมไปเกือบทุกรอบแต่ไปไม่ครบเวลาบ้าง แต่รอบสุดท้ายอยู่จนจบ
ก็ได้เห็นEncore จิงๆ ซึ่งเป็นครั้งที่สอง ตั้งแต่ทำงานมาเลย เพราะส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี
ชอบมีEncore แบบเทียม(ผมเรียกของผมเองนะ) คือเตรียมไว้ให้เรียก เช่นเล่นๆอยู่แล้วก็จบ
แต่ไม่เปิดไฟhouse คนดูเดี๋ยวนี้ก็รู้ บางทีก็รอแต่ไม่เรียก ผมว่ามันตลก ถ้าจะencore ก็ให้มันมาจากใจ
น่าจะดีกว่าไม่ใช่ ไปบังคับให้เค้าเรียกเรา (มีหลายconcertมาก แต่ไม่ขอบอกว่าอันไหนละกัน เดี๋ยวโดนด่า.. ออกตัวก่อนว่าค่ายAtimeจะไม่มีencore เทียม แต่ที่อื่นส่วนใหญ่ที่ผมทำก็จะมี )้
นอกจากนี้ คนมาดูconcertสมัยนี้ ก็มักจะแอบกลับก่อนกลัวรถติด คนเยอะ ทำนองนี้
แต่Concert สามหนุ่มของพี่บอยนี้ถือว่าคนออกน้อยกว่าของคนอื่นมากๆๆ
พอจบconcert ด้วยพลังของ FC และ ความกระชับ ทำให้คนไม่เบื่อ และEncore จิงๆ
คนดูตะโกนเอาอีกๆๆ จนศิลปินต้องออกมาร้องอีก เห็นอย่างงี้แล้วจะประทับใจ
ส่วนพวกเบื้องหลังก็จะวุ่นวายๆหน่อย เพราะไม่ได้ซ้อมมา ก็ต้องเลือกเพลงกันสดๆ
สนุกดี

**ตั้งแต่ทำconcert มามีencore จิงๆ ครั้งแรกคือconcert ของพี่ใหม่ที่จัดที่impact อันนั้นคนดูไม่ยอมออก
เบื้องหลังก็ต้องวุ่นวายเลือกเพลงที่จะร้องตอนencore เหมือนกัน

Business partner VS Brand Partner

หัวข้อนี้มันก็คงเกี่ยวกับเรื่อง brand ซึ่งเป็นส่วนที่ผมสนใจอยู่มาก เรื่องว่าเชื่อเลยก็ได้
เรื่องของเรื่องเริ่มจากว่า เมื่อสักสัปดาห์ก่อน ผมได้ไปนั่งกินกาแฟที่Starbucks สยาม
(สาขาที่share พื้นที่กับK BANK) ก็ได้เจอพนักงานที่เคยประจำอยู่ที่สาขาAll season
ย้ายมา ก็เลยได้ทักทายกัน ผมถามว่า ย้ายมานานแล้วเหรอ เค้าบอกว่า ก็สักพัก แต่เดือนหน้าที่นี่
ก็จะปิดแล้ว ผมก็เลยเอ๊ะใจ ลองถามว่า K Bankจะเอาคืนละสิ เค้าก็ตอบว่า "ใช่ครับ"

ก็เลยทำให้ผมวิเคราะห์เรื่องนี้ขึ้นมา
มองไปรอบๆ คนก็เยอะอยู่ แต่ปํํญหาที่เกิดคือ ผมว่าK bank รู้สึกได้ว่ามันไม่คุ้มเลย
เพราะตัวBankได้ประโยชน์น้อยมากจากการทำ ฺ Business partner กันแบบนี้
เพราะ เมื่อเป็นbusiness partnerกันก็ส่งผลให้มีbrand image มีความสัมพันธ์ต่อกัน
ตอนแรกที่รวมกัน เชื่อว่าKbankคงต้องการที่พักสำหรับคนมาทำธุรกรรมทางการเงิน
และต้องการยกระดับ Brand K bank โดยไปผูกกับ Global brandที่ร้อนแรงอย่างStarbuck
หรือไม่เค้าอาจจะคิดว่าBrand K bank กับ Starbucks อยู่ระดับใกล้เคียงกัน
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ การปิดของร้านstarbuckในครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์ถึง
การคิดเรื่องBrandingแบบผิวๆ ของTeam K bank

เพราะผมเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะไปด้วยกันได้ ยังไงก็ต้องเริ่มจากการมีobjectiveเดียวกัน
คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง ทั้งสองคนต้องมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน
คนเป็นอย่างไร Brand ก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อฝั่งนึงต้องการขายกาแฟ แต่อีกฝั่งต้องการใช้เป็นแค่support ของBrandตัวเอง
ทีนี้ก็ต้องมาดูกันว่า Brand ไหนแข็งแรงกว่า (ณ ที่จุดขายนั้น)
ท้ายสุด Starbucks ก็เป็นผู้ชนะ เพราะคนที่มาที่นั้น กว่า70-80% มาเพื่อนัดพบ พักผ่อน
และทานกาแฟ มิใช่มาทำธุรกรรมทางการเงินแต่อย่างใด
K bank อาจจะคิดว่าstarbuckเอาหน้าร้านด้านล่างเยอะไปจึงdevelopให้ มีพื้นที่ของธนาคารมาครึ่งนึง
แต่ท้ายสุด ก็พบว่านั่่นไม่ใช่ทางแก้ปัญหา เพราะBrand Starbucks (ณ จุดนั้น) แข็งแรงกว่าK bank
เป็นอย่างมาก ท้ายสุด K bankกลับกลายเป็นโดนกลืนไปหมด (ถ้าkbankไปpartner กับ กาแฟ local
ยี่ห้ออื่นผลลัพท์ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้)
แสดงให้เห็นถึงการทำ Business partner ที่ไม่ได้พิจารณา เรื่องobjective และ branding กันดีดี
ท้่ายสุดก็ต้องแยกจากกันไป แบบเสียเวลาทั้งคู่นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

โลกที่เปลี่ยนไปของธุรกิจดนตรี

วันนี้ขอเขียนอะไรนอกเรื่องจากshow businessสักหน่อย
เรื่องธุรกิจดนตรี แต่ก่อนจะว่ากันเรื่องนั้น ต้องเกริ่นว่า
ผมเป็นคนที่มีความเชื่อเรื่องคลื่นลูกที่สามอยู่พอสมควร(หนังสือเล่มนึงที่ผมชอบมาก)
และเชื่อเรื่องโลกที่เปลี่ยนแปลงจากการติดต่อสือสารอย่างรวดเร็วในยุคInternet
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมชอบเรื่องbranding และเป็นคนชอบมองโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

เริ่มเรื่องดีกว่านะ
วันนี้(10.10.08)ผมเองไปประชุมกับลูกค้า(พี่ฉอด หรือ DJ ฉอด) เรื่องการปรับLOGO
และ branding ของธุรกิจในport folioของแก ระหว่างที่รอผมเตรียมงานเพื่อ ขายแบบอยู่ ก็มีพี่ผู้ใหญ่ในห้องท่านนึง ก็พูดถึงเรื่องการLOAD เพลง ในช่วงนี้ยอดตกลงไป คนไม่ค่อยload
และก็พูดถึงเรื่องต่างๆนานา เกี่ยวกับการประชุมของGMM ซึ่งผมคงไม่มากล่าวในที่นี้

แต่สิ่งนึงที่เห็นได้จากการคุยนั้นก็คือ ผมพบว่าธุรกิจเพลงมันช่างเปลี่ยนแปลงไปมาก
มากในแบบที่เราไม่ทันมองเห็น อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เดี๋ยวนี้เพลงมันขายได้จาก
RINGTONE ,RING BACK TONEเป็นหลัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั่นอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือเป็นของส่วนตัว
ของผู้ใช้ การที่เสียงมือถือดังขึ้นมันเปรียบเสมือน การแสดงตัวตนของผู้ใช้
จิงส่งผลต่อการเลือกเพลง เป็นอย่างมาก เพราะเพลงเหล่านี้ มันแสดงความเป้นตัวตน
บางเพลงที่เสี่ยวก็จะทำให้ผู้ใช้ดูเสี่ยว หรือบางเพลงอาจจะขบขันก็แสดงถึงความขบขัน
หรือกวนตีน ของผู้ใช้ (ซึ่งทุกวันนี้ผมก็รู้สึกหลายๆครั้งต่อการโทรหาใครแล้วเพลงอะไรดัง
มันมักจะชวนให้คิดว่า นี่เค้าต้องการบอกอะไรผมเนียะ ว่าเค้าเป็นคนอย่างไร)

ทุกวันนี้การทำธุรกิจเพลงให้ดัง จึงต้องทำเพลงที่ดี มีคุณภาพ เหมาะกับตัวตนของผู้ใช้
มีประโยคที่มีความหมายต่อการฟัง ต่อการคิดว่าถ้าคนที่ฟังเพลงนี้มีภาพพจน์ยังไง
รวมถึงตัวผู้ร้องก็มีผลกระทบโดยตรงต่อ ผู้ใช้ringback tone หรือ ringtoneนั้นๆ
เป็นการกระทบชิ่งของภาพลักษณ์ ทุกวันนี้เพลงที่load มาก อาจจะไม่ใช่เพลงที่เปิดในวิทยุ หรือ
สื่อต่างๆมากมาย แต่กลับเป็นเพลงที่มีความหมายตรงใจ หรือ เพลงที่มีผู้ร้องภาพลักษณ์ดีดี นั่นเอง

เมื่อวิเคราะหฺให้ลึก นี่เป็นการ ย้ายของอำนายจาก ผู้มีสื่อ ไปสู่ ผู้ใช้ หรือผู้รับสื่อ
ทุกวันนี้เป็นวันแห่งทางเลือก เราสามารถเลือกความเป็นตัวตนของเรา
ผ่านแม้กระทั่งทางการฟังเพลง ยุคนี้เป็นยุคที่ มีความแข็งแรงเรื่องcommunity หรือ FC
เป็นยุคที่ ผู้ใช้หรือกลุ่มผู้ใช้เป็นผู้กำหนดทิศทางของธุรกิจ ไม่ใช่ยุคของคลื่นลูกที่สอง หรือ
ยุคที่ผู้ขายมีของอะไร ก็ ไปออกสื่อ หรือโฆษณา ก็จะขายได้ อีกต่อไป

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ETC : BRING IT BACK CONCERT





วันนี้ผมเพิ่งกลับมาจากการไปดูETC: ฺBRING IT BACK CONCERT
จริงๆconcertนี้เป็นconcert ที่อยากไปดู เพราะผมเป็นแฟนเพลงของETC
แต่ช่วงนี้งานผมเยอะมาก ก็รู้สึกเหนื่อยไม่อยากไป แต่ได้คุยกับพี่เมา(Lighting Designer คนสนิท)
เค้าบอกว่าน่าจะดี และเป็นcenter stage ก็เลยทำให้ต้องไปดู เพราะอยากเห็นproduction แบบ
center stage กะตาซะที ก็เลยโทรหาพี่อู๋( creative งานนี้) แกไม่รับก็เลยหาช่องทางอื่นเข้าไปจนได้
เข้าไปแว๊บแรกเป็นเวที ปิดไว้ด้วยscrim ขาว (ยกขึ้นลงได้) มีlighting ม่วงๆอยู่ข้างในก็ เท่ห์ไม่หยอก พร้อมกะมีรางวงกลมอยู่รอบๆ และจัดวางเครื่องดนตรีออกเป็นด้านๆ เป็นแท่นกลม ยกขึ้นลงได้

Showค่อนข้างมีความหลากหลาย คล้ายกับshowที่แล้วของETC แขกรับเชิญมากมาย
และหลากหลาย ทั้ง styleและ ความสามารถ ตั้งแต่ป๋าเทพ โจอี้ แอน(ทองประสม) เสนาหอย
พี่โอม และ ทาทายัง เมื่อดูรวมๆ ผมว่าก็OK นะ ในเรื่องproduction( แม้ว่ามันจะ คงได้ inspireมาจาก concert ของ JUSTIN มา ) ต้องออกตัวก่อนว่า หลังไปดูโชว์หรือconcert เนียะ มักจะดูเป็นงาน
แสงยังไง stage ยังไง scriptยังไง ก็เลย อาจจะมีBias บ้าง เพราะไม่ได้มองจากมุมคนดูล้วนๆ
แต่ของETC จริงๆผมอินกว่าอันอื่นที่ไปดูหน่อย เพราะผมเป็นแฟนเพลงเค้า โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบการจัดเรียงshowและ เพลง มันไม่ทำให้ผมรู้สึกอิ่มเลย อาจเป็นเพราะผมไปดูงานมากเกินไปส่วนนึง แต่Graphของshowมันขึ้นๆลงๆ ตลอดเวลา ไม่เป็นกลุ่มก้อน ยังไม่ทันจะซิ้ง ก็เปลี่ยนtone show หรือเดี๋ยวๆก็มีแขกรับเชิญ ซึ่งแขกบางคนก็เอาตัวรอดไป บางคนก็ไม่รอด เช่นพี่หอย พี่โอม joey กับ แอน ถ้ามาออกช่วงหลังกว่านี้ ก็คงจะเหนื่อยเอาการที่จะเอาตัวรอดบนเวที ส่วนทาทา นี้ไม่ต้องพูดถึง ทำshowย้วยมากๆ
เจ้เล่นออกนอกscriptไปเรื่อย graph show มันก็เลยยิ่่งตกๆ ยิ่งเล่นเพลงเยอะ แขกเยอะ มีDEAD AIR บ่อย ก็ทำให้concertนานและอาจจะรู้สึกเบื่อบ้างเป็นบางคราว รวมถึงการเรียงเพลงของSHowนี้ก็ไม่ค่อยดี ช่วงเพลงเพราะไม่เป็นกลุ่มก้อน ทำให้อารมณ์ไม่ถึง
แขกรับเชิญบางคน ก็ไม่ได้แย่ แต่ผมไม่รู้่ว่ามาทำไมเช่นแอน ,พี่หอย (คือแอนจริงๆรอดบนเวทีนะ แต่มันทำให้showมันยาว ทำให้ส่วนที่ควรจะฟังเพลงเพราะๆ กลับกลายเป็นง่วงไป) ยิ่งเพลงเร็วท้าย นี่ตายเลย เล่นมานานเกือบ4 ชม เอาคนดูไม่ขึ้นเลย ชวนให้นึกถึงconcertพี่คิ้ม2ที่ผมทำ
concert นั่นก็ยาว ช่วงmedley ท้ายนั้นก็ไม่รอดเหมือนกัน
สรุปโดยรวมของproduction ผมว่าOk เลย แต่หัวใจของconcertคือลำดับเพลงและการdesign showกลับ ไม่ดีเท่าที่ควร บางทีผมอยากเห็นETC เล่นเป็นแนวดนตรีมากกว่าเน้นความVariety แขกรับเชิญ น่าจะมีความเป็นBand หรือ music expert เยอะนิด (ก้อนพี่โอม ผมเดาว่าเค้าพยายามจะนำเสนอเรื่องความเก่งด้านดนตรีี เหมือนตอนพี่โก้ในคราวที่แล้ว แต่เค้าจัดโครงไม่ดี น่าจะเอาsoloของแต่ละคนมาอยู่ตรงนีเลย คราวนี้เอาไปกระจาย มันเลยยาว น่าเบื่อและไม่สื่อสาร ) ถ้าconcertมีvarietyมาjamบ้างเป็นสีสัน และไม่ต้องยาวมาก เอาพออิ่มๆ ผมว่านั่นก็น่าจะมีความสุขแล้ว

หลังๆตั้งแต่ดูมา ผมชอบของDA ที่สุด เค้าเรียงเพลงดี รู้จักDA และแฟนเพลงDAดี ทำให้productionที่แสนธรรมดา กลับส่งให้concert ดีละคนฟังร้องร่วมตลอดconcert ดูแล้วอิ่มมากๆ
concept show ของDAอาจจะดูเกินๆนิดๆ แต่ก็ทำให้concertไม่น่าเบื่อ แต่ด้วยเสียงดากับความมีส่วนร่วม
ของคนดู ผมในฐานะคนดูคนนึงที่ก็เป็นแฟนเพลงดา รู้สึกขนลุกเกือบตลอดเวลา