วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

UNDO LIFE

เมื่อวานผมนั่งทำงานอยู่แล้ว ก็ทำแล้วก็แก้ ทำแล้วก็แก้ undoตลอดเวลา มันทำให้ผมนึกถึงสักเมื่อสองสามปีก่อน ผมเอาprogramอะไรไม่รู้มาลง ลองเล่นดู แต่programนี้มันมีundoครั้งเดียว ท้ายสุดผมเลยต้องเลิกใช้programนี้ไปเลย... พอคิดเรื่องนี้แล้วก็เลยพลาดคิดต่อไปว่า ถ้าชีวิตเราขาด crtl Z ไป นี่เราจะเป็นยังไงนะ

จริงๆสิ่งเหล่านี้มันมีผลกระทบต่อชีวิตของคนยุคนี้เป็นอย่างมาก โดยไม่รู้ตัวเลย มันกระทบไปจนถึงการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ๆทีเดียว
ผมเกิดมาในยุค ที่เค้าเรียกว่าGEN X หลังจากกลุ่มพวกYUPPY แต่ตัวผมเป็นคนที่อาจจะอยู่ใรตะเข็บของกลุ่ม GEN Y เสียด้วยซ้ำ (เอาเป็นว่า จะ Yuppy, Gen X,Gen Y อะไรก็ลองsearch ดูเองละกันว่ามันหมายถึงอะไร)
รวมๆ คนกลุ่มนี้เกิดมากับยุคDigital, เกิดมากับคำถาม Why Why WHy ( Gen Y นี่นะ) , มากับคำว่าReset เบื่อหรือเล่นเกมส์ไม่ผ่านก็reset เริ่มใหม่ รวมถึงการเกิดมากับคำว่า Undo

สิ่งเหล่านี้มีผลต่อทัศนคติของคน รวมถึงการใช้ชีวิต (มีลูกน้องมาเยอะ ก็พอจะสังเกตุเห็นได้) เด้กเหล่านี้จะมีสมาธิสั้น เปลี่ยนแปลงได้เร็ว หากทำพลาด ก็ลุกขึ้นยืนได้เร็ว(เหมือนเล่นเกมส์ตายก็resetใหม่ได้ทุกครั้ง) กล้าได้กล้าเสีย ความอดทนต่ำ รุ้สึกว่าชีวิตต้องลองเองถึงจะรู้ (ใครห้ามก็ไม่ฟัง) สังเกตุได้ง่ายๆจากการTakeยาเสพติดของวัยรุ่นในปัจจุบัน มักเป็นการลองโดยสมัครใจทั้งนั้น เด็กเหล่านี้จะคิดว่ามีชีวิตต้องลองให้คุ้ม..ซึ่งสำหรับผม ณ วัยนี้ ผมว่ามันก็อาจจะไม่ถูกซะทั้งหมด..แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกปลุกฝังมา ใช่ว่าจะสามารถสอนกันได้ด้วยคำพูด มันกลายเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมไปเลย
เราจะสังเกตุได้ว่าเด็กรุ่นใหม่จะเปลี่ยนงานเร็ว มองอะไรฉาบฉวย กล้้าลองผิดลองถูก ..ใช่ มันเป็นการสร้างโอกาส ให้กับชีวิตมากขึ้น แต่มันก้น่าเสียดายที่เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นเด็กที่ขาดความอดทน ขาดสติ และขาดความพิถีพิถันไปเช่นกัน
สำหรับผมโดยส่วนตัว จริงๆการกล้าได้กล้าเสีย หรือลองถูกลองผิด ไม่ใช่สิ่งไม่ดี
แต่ชีวิตคนเราUndo แบบในComputerไม่ได้
ไม่มีใครลบความทรงจำได้ มันก็จะอยู่ตรงนั้น
ถึงบางครั้งเหมือนเราจะลืมได้ แต่จริงๆแล้วมันก็เหมือนลิ้นชักที่เก็บของไว้ เมื่อใครเปิดออกมาเราก็จะจำได้อีกที
.......พิมพ์เรื่องนี้เสร็จก็คงกลับไปนั่งทำงานต่อ ด้วยความตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ ให้Undoน้อยที่สุด

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับ Truss

เมื่อสองเดือนก่อนได้แวะไปคุยกับ Lighting Designer (พี่เมา) เรื่องงานInnocent
แต่ตัวเค้าอยู่ที่งาน Set up เสกLOSO ก็เลยได้เห็นงานที่ GMM Live ทำ
ซึ่งงานนี้เค้าใช้ Truss เป็นโครงสร้างหลัก เลยเดินไปดูเก็บความรู้ กะว่าคราวหน้าจะใช้มั่ง

























เพื่อความชัดเจน ผมเลยเข้าไปดูระบบนั่งร้าน ซึ่งมันก็เป็นระบบเดียวกัน และมันคงเป็นโครงสร้างเดียวกันหมดได้ ทั้งstage&lighting structure (ขอขอบคุณWEB: www.formworkdd.com)

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รสนิยม ... รสที่คุณนิยม

จริงๆฺBlogนี้จริงๆตั้งใจจะทำเป็นที่รวบรวมความเป็นมาเฉพาะงานที่ผมทำ
แต่ไปไปมามา ก็ขอเอาความคิดต่างๆที่มีในชีวิตประจำวันละด้วยละกัน
(จริงๆcolumn ต่อไปเป็นคิวของ design process ของ Mai-Tina, Jo+J, Green Concert )
แต่บางเรื่องที่คิดขึ้นมาในหัว ก็เลยอยากเขียนขึ้นมาก่อน

จะเขียนเรื่องที่ว่าด้วย " รสนิยม"
หลายครั้งหลายคราวมากที่ผมจะได้ยินคำว่า รสนิยม
แต่ส่วนใหญ่ที่ได้ยินคำว่า รสนิยม มันมักจะไม่ได้มาแค่นี้ แต่มันมันจะมาพร้อมคำคุณสรรพติดท้ายมาด้วยอื่นเช่น รสนิยมดี รสนิยมแย่ รสนิยมเสี่ยว อะไรอีกมากมาย... แล้วแต่สมองของผู้พูดจะคิดได้

ทุกครั้งที่ผมได้ยินคำนี้ ผมมักคิดไปเสมอๆว่า คำนี้มันมีคุณสรรพต่อท้ายได้ด้วยเหรอ
รสนิยม มันก็คือรสนิยม สำหรับผมคำต่อท้ายของมันน่าจะเป็นคำว่า "รสนิยมของ....."
เช่น รสนิยมของผม รสนิยมของคุณ อะไรเช่นนี้

เพราะคำว่ารสนิยม ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า
[รดสะนิยม, รดนิยม] น. ความนิยมชมชอบ, ความพอใจ, เช่นเขามีรสนิยมในการแต่งตัวดี.

รสนิยม ตาม พจนานุกรม ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร
[รด-สะ-นิ-ยม, รด-นิ-ยม]น. ความนิยมชมชอบในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นไปตามฐานานุรูปของแต่ละคน เช่น คนมีรสนิยมสูงก็หมายถึงผู้รู้จักนิยมชมชอบของที่ดีแท้, ความเข้าใจในความสวยความงามและคุณสมบัติต่างๆ

ส่วนคำว่า รสนิยม ตาม มันสมองของผม
น. รส+นิยม หรือแปลได้ง่ายๆว่า เป็นรสชาติที่คนนิยม ดังนั้นเมื่อมันเป็นรสชาติที่คนนิยม มันเลยต้องถามต่อว่าใครนิยม ไอ้คนนั้นมันใคร

หลายครั้งที่ฟังแล้วขัดใจ เมื่อมีคนพูดว่าคนนี้ รสนิยมไม่ดี หรือบางครั้ง พูดว่า ไม่มีรสนิยม มันมักจะมีคำถามอะไรคือไม่ดี อะไรคือไม่มี เอาอะไรมาวัดหรือ ท้ายสุดคำนี้ มันเป็นคำคล้ายๆกับคำว่าสมัยนิยม

สมัยนิยม ตาม มันสมองของผม
น. สมัย+นิยม แปลว่า เป็นช่วงเวลาที่คนนิยม ดังนั้นเมื่อมันเป็นช่วงเวลาที่คนนิยม และนอกจากจะถามว่าช่วงเวลาไหนที่นิยม มันก็ต้องถามต่อด้วยว่าใครนิยม (คือถ้าเป็นช่วงคลื่นลูกที่สอง ...mass communication..มันก็จะชัดว่าคนที่เป็นส่วนใหญ่คือใคร แต่ถ้าทุกวันนี้ สมัยนิยมก็อาจจะต้องบอกด้วยกว่ากลุ่มคนกลุ่มไหน)

กลับมาที่รสนิยม ทุกวันนี้ คนหลายคนมักวัดระดับของตัวเองหรือแยกกลุ่มชนชั้นที่รสนิยม
ถ้าคนรสนิยมดี ถือว่าเป็นคนชั้นสูง คนรสนิยมแย่ ถือว่าไม่ใช่คนชั้นสูง หรือบางคนที่เค้าเรียกว่า คนชั้นล่างเลยทีเดียว ซึ่งถ้าพูดในมุมผม มันไม่มี มันไม่มีดี ไม่มีแย่ มันคือรสนิยมที่คุณชอบ

เท่าที่ผมเข้าใจในทุกวันนี้คำว่า "รสนิยมดี" ในคนที่ผมรู้จักและทำงานด้วย ก็มีอยู่หลายประเภท กลุ่มหนึ่ง มักจะเป็นคนที่เรียกรสนิยมแบบสากลว่ารสนิยมดี (ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้คือคนที่มีการศึกษาสูง หมายถึงคนเรียนมาเยอะ เรียนมาเฉพาะทางด้านการออกแบบหรือการสร้างสรร ในสาขาต่างๆ)
รสนิยมสากล ที่ผมหมายถึง ...ก็คือInternational Style , Metropolitan Style (เรื่องนี้จะเอาไว้เขียนเรื่องต่อต่อไป) จะว่าไปก็เป็นการคิดที่ได้อิทธิพลมาจากการคิดต่ออีกชั้นนึง อือม..อธิบายยังไงดี ...จริงๆมันก็มีหลายประเภทอีกนะ กลุ่มลดทอน เช่นแบบกลุ่มคนที่วาดบ้านหลังเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเรียบ หรือกลุ่มเพิ่มเติม พวกที่เอาเก้าอี้ไม้ธรรมดา มาใส่ลวดลายแกะสลักจำนวนมาก คือจะว่าง่าย เหมือนว่าทำอะไรที่ผ่านมันสมองมารอบนึงแล้ว ได้ลดทอนหรือเพิ่มพูน สรุป อะไรก็ได้ขอให้ดูเหมือนคิดมาเยอะๆ จะเรียกว่า รสนิยมดี

นอกจากนี้มีกลุ่มคนต่อไปที่ใช้คำว่า "รสนิยมดี" โดยปะปนไปกับกระแส หรือสมัยนิยม(ตามมุมมองที่คนคนนั้นมี) และอีกกลุ่มที่ใช้คำว่า "รสนิยมดี" กับการดูวัฒนธรรมต่างประเทศ หรือประเทศที่คนอื่นเรียกว่าเจริญแล้ว (ซึ่งใครเจริญไม่เจริญก็ตั้งขึ้นด้วยกฎเกณฑ์ของประเทศเหล่านั้นเอง...แปลกมั้ยละ)
ผมเองจริงๆแล้วก็เป็นคนชอบ Comment ชอบมีความเห็นเสมอๆ แต่ผมก็เข้าใจเสมอว่า นี่คือความเห็นของผมคนเพียงเดียว ผมเองก็ Comment ในรสชาติที่ผมชอบ..
ล่าสุดผมทำงานละครเวที เรื่องนึง (ถ้าใครอ่านblogผม ก็คงรู้ว่าเรื่องอะไร) มันก็มีทั้งคนชม คนต่อว่า บางคนต่อว่า Style บท ว่าดูเหมือนบทของมือสมัครเล่น รสนิยมไม่ดี หรืออะไรก็ตาม บางทีสิ่งเหล่านี้ ผมว่าคนทำงานหลายคนอาจจะฟังแล้วท้อ แต่ท้ายสุด แต่ถ้าเราเข้าใจคำว่ารสนิยม มันก็คือแค่เรื่องนี้ไม่ถูกปากเค้า บางทีผมเห็นคนด่าละครเวทีของคุณบอย(Scenerio) ว่าน้ำเน่า ไม่มีคุณภาพ ไม่มีรสนิยม ผมกลับคิดแค่ว่ามันแค่ไม่ถูกปากคุณ(คนด่า) เพราะละครของคุณบอยก็มีผู้ชมเยอะเสมอ ก็แสดงให้เห็นว่าเค้ารู้ว่าเค้าทำอาหารให้ใครทาน ซึ่งก็ถูกปากคนจำนวนมาก ซึ่งผมว่านี่เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการจะบอกว่าใครรสนิยมดีหรือแย่ เรารู้แค่เราทำของให้ถูกปากรสนิยมใคร จึงเป็นสิ่งสำคัญกว่าสำหรับผม...และเราเองเป็นคนตัดสินได้ว่าสิ่งเหล่านั้นดีไม่ดี รสชาติถูกใจคนชมหลัก (Target Group) โดยสังเกตุและฟังความเห็นพวกเค้า ไม่ใช่คนที่ชอบอาหารสชาติต่างกับเรา

ท้ายสุด คำว่ารสนิยมดี บางทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับคำว่า
" ก็กูชอบ...."

ดังนั้นคำว่ากูชอบ ก็คงไม่สามารถจะนำไปบอกได้ว่า ใครต่ำหรือด้อยกว่าเรา
เพียงเพราะเค้าชอบไม่เหมือนเรา...ใช่มั้ย


ปล.ก็ขอให้แนะนำว่าต่อไปควรใช้คำว่า กูชอบแทน..คำว่า..รสนิยมดี มันก็น่าจะเข้าใจง่ายกว่านะ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กว่าจะมาเป็น Innocent Concert ( innocent concert design )

สำหรับงานนี้ ผมได้Briefว่าจะต้องทำงานประกบกับพี่โอม โดยช่วยคิดช่วยbrainstorm
แต่พอเอาเข้าจริงๆ ส่วนใหญ่ ก็จะเป็นการช่วยฟันธงมากกว่า ว่า ที่พี่โอมคิดน่ะ ok มั้ย
ก็ทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาพักนึง คุยๆกัน พอได้เป็นรูปเป็นร่าง ผมทำpresentมาให้ลองดูว่าแต่ละsceneถูกคิดอย่างไร จะถ่ายทอดออกมาอย่างไร
สำหรับconcert ก็คงเริ่มจากConcept ง่ายๆเลย เนื่องจากเป็นวงที่ไม่เคย Reunite กันมาเลยตลอด20ปี
หลังจากที่แยกวงกัน ทำให้มันก็ไม่ยาก มันเป็นการนำเอา Good Old Days มาให้ผู้ชมนั่นเอง
คือการหวลความทรงจำเก่าๆของแฟนเพลง เมื่อตั้งโจทย์ตามนี้ ดังนั้นก็ต้องนำเพลงที่ดังของพวกเค้ามาร้องทั้งหมด ปํญหาของมันมีอยู่สามข้อ คือ
1. นักดนตรีหลายท่าน(ย้ำว่าหลายคน ไม่ใช่พี่โอมคนเดียว) รู้สึกเขินที่จะเล่นแบบตอนวัยรุ่น เหมือนอายุอานามและภาพลักษณ์ มันเดินทางไปไกลกว่าจะมาร้องเพลงหน่อมแน้มแล้ว ก็ต้องหาทางใช้ Design เข้ามาช่วยให้เค้าไม่เขิน ทั้งการ design ที่เพลงและการ design ที่ Show
2. วงนี้เป็นวงที่ entertain ไม่เก่ง ก็ใช้วิธีการแก้เดียวกับข้อหนึ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็รวมไปถึงการเชิญแขกรับเชิญต่างๆด้วย
3. Scale งานคือImpact ดังนั้นเราต้องเลือกเพลง ทำเพลง และDesign Show ให้เหมาะกันtarget 10,000 คน และที่เรามั่นใจเลย คือเราคิดว่าทั้ง 10,000 คน คงไม่ใช่แฟนพันธ์ุแท้ของ innocent ทั้งหมด มีสักครึ่งก็เก่งแล้ว คราวนี้อีกครึ่งเราจะทำยังไงกับเค้าให้เค้าไม่เบื่อ ซึ่งนี่ก็เป็นโจทย์ที่สำคัญ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อสรุปของการแก้ปัญหาก็คือการออกแบบShow นั่นเอง ที่จะเป็นคำตอบของทุกๆ สมการ
(ฮ่าๆๆ ท่าทางหัวข้อ Blog คราวนี้จะดูจริงจังมาก)

พอได้conceptและรู้โจทย์
ก็ได้เริ่มวาง sequence ก็ช่วยๆกัน หลังจากเลือกเพลงกันไปประมาณนึง พี่โอม(Music Director) แกจะ grouping เพลงมาแล้ว ทั้งในเชิงอารมณ์เพลงและความเข้ากันของเพลง หลังจากนั้นเราจึงเอาแต่ละ group มาช่วยกันจัดเรียง พร้อมใส่ design ทั้งแขกรับเชิญ dancer(ซึ่งท้ายสุดไม่มี) แสงสีเสียง และอื่นๆอีกมากมาย
ท้ายสุดก็เป็นข้อสรุปออกมาดังที่เห็น คือเปิดด้วยเพลง VTR เพื่อให้ศิลปินเตรียมพร้อม และเป็นIntro ที่จะสร้างความสนใจ นำไปสู่การเปิดศิลปินด้วยก้อนเพลงดัง สามเพลงเพียงกระซิบ ฝันและใฝ่ ทางหนึ่งซึ่งหวัง
ขั้นด้วยเพลงช้า เพลงสักวัน เพราะแขกรับเชิญ พี่โก้ กับพี่หนึ่ง ต่อเนื่องไปที่ก้อนเพลงสนุกๆ และเพลงpeak ( มนต์ไทรโยค..พระเอกอันนึงของshow) แล้วก็ต่อด้วยเพลงสาระ (จะค่อนข้างเครียดและgraph show ตก ก็พยายามให้motionช่วยเป็นพระเอกแต่ก็ช่วยได้ไม่มากนัก) จบก้อนนี้เราก็คาดว่าคนดูคงเริ่มเหนื่อย(ซึ่งก็จริง) ก็พักโดยการเล่นเพลงacousticเบาๆ พร้อมไปขยายsceneที่เพลงรักคืออะไร พร้อมแขกรับเชิญ loveIs แล้วต่อเนื่องด้วยmedley Retro โดยพยายามส่งGraph showให้ขึ้นให้ได้ ก็มีการขยายproduction (ช่วยInnocent ที่อย่างที่บอกว่าentertainไม่เก่ง) และจบท้ายอย่างPeakด้วยแขกรับเชิญมันส์ๆ
จบก้อนนี้จะเข้าเพลงช้าเพลงดัง (เพียงครึ่งใจ) ต่อด้วยการShowความสามรถทางดนตรี โดยมีETCเป็นแขกรับเชิญ(ผมว่าช่วงนี้dropสุด และมาไม่ถูกที่เพราะ showกำลังdropจากความสนุกช่วงRetro พอมีอันนี้มาขั้น มันก็ยิ่งเป็นหลุม ถ้าจริงๆ จบอันนี้แล้วส่งต่อไปช่วงท้ายเลยจะดีกว่า...(ความเห็นผมนะ) แต่พี่โอมอยากได้ภาพการเป็นนักดนตรีตัวจริงของinnocent ก็เลยหาที่วาง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นที่ที่ดีที่สุด ไม่งั้นวางที่อื่นจะยิ่งแย่กว่านี้) จบท้ายด้วยก้อนเพลงช้าเพลงดัง เห็นใจกันหน่อยและเพลงสนุกๆสองเพลงพร้อมแขกรับเชิญโต๋ เพื่อรออังกอร์ (อันนี้ผมก็ไม่ชอบ มันดูfakeๆ แต่ผลลัพท์ออกมาไม่แย่นัก เพราะคนดูรู้ว่ายังมีอีก ก็เลยไม่ออกจากhallไป) มาปิดจบด้วยสองเพลงดังที่เราคาดว่าทุกคนรอ และทุกคนจะไม่กลับถ้าไม่ได้ยินสองเพลงนี้ โดยเพลงท้ายจบด้วยแขกรับเชิญคนสุดท้าย อาต้อย( Scene นี้ผมก็ว่าแปลกๆนิดนึง มันทำให้มันdiluteความเป็นInnocentไปนิดหน่อย แต่ก็พอรับได้ พี่โอมแกศรัทธาที่ต้อยมา เหมือนเป็นidolของแก ...แค่คนดูคงไม่รู้ อาจจะงงๆนิดๆว่าทำไมsceneอาต้อยใหญ่จัง)
นี่เป็นโครงสร้างตั้งแต่ตอนแรกที่ทำกัน พอเริ่มลงsequenceแล้วก็ไม่ค่อยขยับเท่าไหร่ ขยับนิดๆหน่อยๆ ส่งใหญ่จะเกี่ยวกันเรื่องแขกรับเชิญที่ยังไม่นิ่งนัก

คราวนี้ลองมาดูpresentationกันหน่อย
(ไหนๆก็ไหนๆละ ก็เลยเอาการset up เวทีมาให้ดูก่อน)
Artist Spaceที่ได้ทำการศึกษาก่อนออกแบบ








แบบแรกสุด ผมอยากให้สี่คนยืนเท่าจะได้presentความเป็น band


แล้วก็พัฒนาต่อตามbriefว่าอยากได้พื้นที่ของแต่ละคน โดยผมออกแบบให้ข้างหลังโค้งเป็นทรงกลม
ซึ่งค่อนข้างทำยาก ตามที่เห็นต่อไปนี้


จากนั้นก็ได้ปรับให้มันง่ายขึ้นอีกนิด


เรามาดูScene presentกันต่อเลย


อันนี้เป็นตัวอย่างเส้นทางที่ใช้ถ่าย(แต่รุปนี้เอามาจากในpantipเพราะตอนถ่ายจริงๆลืมถ่ายภาพนิ่ง)




อันนี้เป็นมุมมองต่างๆที่ใช้Brief ตากล้อง แบบมุมkeyboardประชันหน้ากัน อะไรอย่างงี้