วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปรัชญาการออกแบบ Entertainment Design

Pol's Rule
1.Dynamic = changeable scene show (Kinetic)
2.Enhance = not intimidate the artist (Intensify)
3.Surprise = the Show must have a surprise thing (Unexpecting)
4.Integrate = everything must be synchronized (Synchronize)
5.Bold = something easy to remember from the show (Stunning,Accent)

D.E.S.I.B

K.I.S.S.S

whenever any rule has reach it's level ..
It will create IMPRESSIVENESS for the audience

Pol

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

เข้าใจง่าย แต่ยากที่จะยอมรับ....

เมื่อวานไปpresent งานที่บริษัท TV THUNDER ซึ่งตอนประชุมพี่แต๋ง(ภูษิต ไล้ทอง)ก็นั่งทำอะไรสักอย่าง น่าจะเกี่ยวกันเรื่องภาษี แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการประชุมของผม ... ผมก็presentไป พี่แต่งก็ทำอะไรของแกไปไม่รู้ จนพี่แต๋งแกทำอะไรของแกเสร็จ แกก็เข้ามาคุยเล่น ซึ่งแกก็เป็นคนที่ชอบปล่อยคำไปเรื่อยตามสไตล์ ซึ่งคราวนี้หวยมาลงที่ผม แกบอกว่าผมเป็นพวกคนที่เข้าใจอะไรง่ายแต่ยากที่จะยอมรับ เป็นคำที่สะดุดใจพอสมควร ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร แต่รู้สึกว่า..เออ นี่แหละใช่เลย... นี่มันกูจริงๆ เป็นประโยคที่แบบเออ ยอมรับหวะ.. เวลาใครบอกให้ทำอะไร หรืออธิบายเหตุผลอะไรต่างๆก็แบบเข้าใจนะ ..แต่ไม่เอาอ่ะ จะทำแบบนี้ ชอบบแบบนี้ หรือมันต้องเป็นแบบนี้สิ เหตุที่มักจะเกิด หรือเป็นเหตุที่พี่แต๋งสังเกตุนิสัยผมตรงนี้มักจะเป็นช่วงที่เวลาที่ทำconcertด้วยกัน เวลาเค้าอธิบายว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเลือกเพลงนี้ คืออธิบายให้เราเข้าใจว่าทำไม ซึ่งเราก็เข้าใจ แต่ก็ไม่เคยยอมรับ และยังคอยเถียงมันต้องเป้นอย่างงี้อย่างงั้น ต้องจังหวะนี้ต้องจังหวะนั้นเสมอๆ ..พอมาเจอquoteที่พี่แต๋งพูดมาเนียะ ก็รู้สึกว่า เออ..จริง..ชอบหวะ คำนี้ ก็จะขอพี่แต๋งเอาไปใช้เป็น quoteส่วนตัวนะครับ..

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำไมวงการเพลงล่มสลาย

จริงๆเรื่องนี้ก็เกิดสงสัยขึ้นในใจมานาน
แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่คิดว่า มันมีคนเอาเพลงเถื่อนมาปล่อย มีแผ่นผี แล้วกฏ็ความง่ายของการขโมยของฟรีในเนต ทำให้
คนมันชอบโหลดเพลงฟรีมาฟังกัน แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ไปเดินซื้อ CD ใน B2S อยู่ๆก็ถึงบางอ้อ ว่าทำไมวงการเพลงมันล่มสลาย
จริงๆมันก็เหมือนการเปลี่ยนของmedia เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับแผ่นเสียง เทป CD จนมาถึงตัวที่ทำให้วงการเพลงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก คือ MP3 ..[MPEG-1 or MPEG-2 Audio Layer 3 (or III)] สิ่งนี้คือความสามารถในการบีบอัดข้อมูลเพลงให้เหลือเพลง นาทีละ1 M แทนที่สมัยก่อนที่wave file มีขนาด 100 Mต่อนาที ..สิ่งนี้มาพร้อมยานพาหนะคู่ใจของมัน ซึ่งนำมาสู่หายนะ(ความเปลี่ยนแปลง)ครั้งใหญ่ในวงการดนตรี ยานพาหนะสำคัญของMP3ก็คือ Ipodนั่นเอง ซึ่งก็จะวิ่งมาบนถนนที่ถูกสร้างมาเป็นอย่างดี นั่นก็คือ internet 57'แม้ใน US จะมีItuneที่จะช่วยให้เพลงไม่ได้เป็นของเถือนที่หาได้ง่าย แต่สิ่งนี้ก็ทำให้วงการเพลงมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อย่างน้อยก็เป็นอาวุธสำคัญที่มาทำลายล้างCDให้หมดไป ซึ่งจริงๆแล้วการที่ผู้ใช้Loadของเถือนนั้นก็ ก็เพราะความสะดวกสบายของคนใช้ คนฟังเพลงนั่นเองที่ไม่ต้องซื้อCDมาconvertให้เป็นmp3แล้วก็เอาCD ไปเก็บในหิ้ง... จะload แบบเสียตังมันก้ช่างยากเสียกระไร ไหนจะต้องกรอกข้อมูล ไหนจะต้องมีบัตรเครดิต กว่าจะกรอกเสร็จ ไปdownloadเพลงฟรี เสร็จไปแล้ว... ความสะดวกสบายแบบนี้เองที่ทำให้การloadของเถือนมันเพิ่มขึ้นทุกวัน
ยังให้ศิลปินต้องหาทางออกใหม่ในการทำงานคือกลับไปนร้องเพลง ..มากกว่าพึ่งยอดขายจากCD DVD หรือ download
ด้วยความสนใจและสงสัยในธุรกิจเพลงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อมีโอกาส จึงได้ไปถามนักดนตรีรุ่นคุณน้า คุณพ่อ (พี่แต๋ง ภูษิต ไล้ทอง)ว่าก่อนที่จะมีการเกิดของธุรกิจ แผ่นเสียง เทป CD นักดนตรีเค้าอยู่อย่างไร ..ก็ได้คำบอกเล่ามาเป็นภาพชัดเจนว่า สมัยก่อนถนนบันเทิงของไทยมันก็มีเป็นเส้นๆ เหมือนทองหล่อ เอกมัยเนียะแหละ แต่สมัยก่อนมันจะเป็น ภัตตาคาร ร้านอาหาร โดยเฉพาะร้านดังๆสมัยก่อนคือ Galaxy ที่คนรวยๆลูกอาเสี่ย จะต้องแต่งสูทไปนั่งกินดริ้ง แล้วเต้นรำบนฟลอร์ ศิลปินทุกคนก็จะเดินสายเล่นดนตรีไปตามร้านต่างๆ ร้านละ 45 นาที ร้านละ 1 ชม โดยมีการจัดวงแบบbigband bandใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถ้าห้องอาหารไหนรวย ก็จะเป็นวงใหญ่(ให้นึกถึง bigband แบบ motown) ในร้านอาหาร (ภัตตาคาร) เหล่านี้ก็จะเริ่มจากการกินข้าว กันก่อน แล้วพอดึกๆ ก็จะไปเต้นรำกันในฟลอร์ ซึ่งก็จะเต้นรำกันแบบเป็นเรื่องเป็นราว swing tango walz อะไรก็ว่ากันไป ทุกคนที่ไปร้านอาหารก็จะค่อนข้างwell dress ก้ไปเกี้ยวสาวกัน โดยชวนออกไปเต้นรำในฟลอร์อะไรทำนองนั้น ช่วงนั้นเป็นช่วงของพวกสุเทพ วงศ์กำแหง , สุนทราภรณ์คืนนึงก็เดินสายไปตลอดถนน (ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับศิลปินในปัจจุบัน) ... แต่ยุคการร้องเพลง แบบbigband ก็ล่มสลายลง ตามกฎหมาย ห้ามมีการเล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีมากจำนวน (จำไม่ได้ว่ารัฐบาลไหนสั่งห้าม) จึงเริ่มเข้าสู่ยุค nightclub เป็นยุคที่electron หรือ acoustic เริ่มเข้ามามีบทบาท (อันนี้ผมเริ่มจะพอคุ้นๆบาง..)
ก็จะเป็นclub แล้วก็มีการร้องเพลงเป็นหลัก (น่าจะเป็นอารมรณ์แบบหนังเรื่องเก๋าๆ) ก็เป้นยุคของนันทิดา แก้วบัวสาย อะไรทำนองนี้ แล้วก็nightclubก็หมดความนิยม และเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งธุรกิจเพลงบูมที่สุด คือยุคที่เทปเข้ามาเป็นอาวุธหลักของการชายดนตรี ก็เริ่มตั้งแต่ ยุคแกรนด์เอ๊กซ์ คีรีบูน และอีกมากมาย จนมารุ่งเรื่องที่สุดในยุคของgrammy RS และตอนนี้วงการเพลงกำลังเปลี่ยนรูปไปอีกครั้ง ...ซึ่งผมพยายามทำความเข้าใจและศึกษา อย่างสนใจว่า มันจะเดินต่อไปอย่างไร

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

East vs west culture

เรื่องของเรื่องในเรื่องนี้
คือผมเป็นคนสนใจเรื่องความเป็นไทยมาตั้งแต่สมัยเรียน
ทำวิทยานิพนท์ที่ต้องเรียนรู้เรื่องนี้และได้เกิดแรงบันดาลใจมากขึ้น
เมื่อได้ไปอ่านหนังสือ"ลักษณะไทย-ชีวิตน้ำ(ไม่แน่ใจในชื่อว่าถูกต้องรึเปล่านะ)"
ทุกวันนี้ชอบสังเกตุความแตกต่างของตะวันตกกับตะวันออก
ความเชื่อ. การใช้ภาษา การรับประทานอาหาร. การใช้ชีวิตในบ้าน
มีประเด็นที่น่าสนใจมากมายและมีทิศทางสอดคล้องก็เลยอยากเขียนถึงเรื่องนี้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ปีใหม่ ...เอาใหม่

ปีที่แล้วเป็นปีที่เริ่มต้นใหม่ ปรับประเภทงาน ระบบองค์การ และทีมงานใหม่
โดยรวมถือเป็นที่พอใจ(มากพอสมควร) ปีนี้คงต้อนเริ่มนับต่อจากปีที่แล้วต่อไป
งานปีที่แล้วก็เยอะ ตามฤดู โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง
และเดือนตุลาก็ไม่แคล้วก็ตุลาวิปโยคเหมือนเคย ไม่รู้ว่าอะไรกันนักกันหนา ในเดือนตุลา
ช่วงนั้นมี Salz, Music marathon, Boy peace, ฺB.A.M. ลากจนมาถึง BODYSLAM
เป็นสามปีติดแห่งความหายนะในเดือนตุลา ..เราลองมาดูปีนี้กันว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ปีนี้ ปีเถาะ เป็นปีชงของเรา ...มันจะเป็นยังไงหนอออ

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

หายไปนาน.

หายไปจากblog แทบจะเรียกว่า 1 ปีกว่าๆ
งานเยอะ เรื่องแยะ (โดยเฉพาะพวกเรื่องไร้สาระ)
แต่สมองก็ไม่ได้หยุดคิด มีเรื่องมากมายที่ผ่านมาทำให้ความคิดมันเตลิดไปไกล
ไม่ว่าจะเป็นความสนใจใน music industry ว่ามันจะเดินต่ออย่างไร
หรือเรื่องการดำเนินชีวิตที่มีจุดยืนบนความสัมพัทธ์ คือเชื่อว่าไม่มีอะไรถูกผิด มีแต่เหมาะไม่เหมาะ ชอบไม่ชอบในสายตาของผู้ตัดสินใจ .. (ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างทั้งระเบียบและมาตรฐาน โดยสิ่งเหล่านี้ถูกทำให้ชัดเจนขึ้นมามากในยุคที่มีinternet (การสื่อสารสองทางที่รวดเร็ว) เป็นโครงสร้างของระบบ)
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของการมองการเดินทางของโลกไปสู่ยุคที่มีแต่คำถามว่า WHY?
เป็นยุคที่internet เข้ามาจัดระบอบของสังคมใหม่ เพิ่มspeedของกิเลสและการใช้ชีวิต และมีผลกระทบต่อเนื่องอีกมากมาย จนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากว่า โลกเราจะเดินต่ออย่างไร
รวมไปถึงการshift ของindustryต่างๆจากผลของinternet ไม่ว่าจะเป็นentertainment, communication, logistic รวมถึงdesigner

เรื่องมากมายเหล่านี้อยู่ในหัว อยากเขียนออกมาเป็นคอลั่มมากมาย
แต่ขอเวลาก่อนนะ

แต่คิดว่าปีนี้จะกลับมาเขียนblog เพื่อรวบรวมแนวทางความคิดที่มั่วๆระเกะระกะให้มันเป็นที่เป็นทางอีกสักที