วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อยากกราบขอบคุณ

อยู่ๆวันนึงก็คิดถึงน้องๆทุกคนที่ร่วมงานกันมา
วันนี้เป็นวันที่เราเริ่มชัดเจนแต่กว่าจะมาเป็นวันนี้ได้ ก็มั่วกันอยู่พักใหญ่ๆ
ชีวิตทำงานแบ่งย่อยๆคงได้หลายช่วง
ตั้งแต่ทำงานประจำกับaesthetic studio(พี่บี:ขอบคุณพี่เค้าอีกครั้ง)
แล้วก็มาทำกับเพื่อนๆอีก 4 คน ที่เป็นจุดกำเนิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงานครั้งใหญ่
ต้น ปอย หนุ่ย เอ๋ย มาทำบริษัทเล็กๆกัน อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่โดยการผลักดันของปอย คนที่มีความทะเยอทะยานที่สุดในกลุ่ม
ตอนเริ่มก็เริ่มแบบเด็กๆอยากทำนู่นนี่ รับจ้างไป ขายของตัวเองไป
แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เริ่มพบว่าความจริงมันไม่เคยง่าย

ชีวิตการทำงานช่วงใหญ่ ก็คือช่วงที่ทำบริษัท edit studio/box exhibit
ที่รับจ้างทำงานออกแบบทุกสาขา

ชีวิตการทำงานช่วงที่สองคือ ช่วงBox exhibit/HUI
ที่เน้นการเป็นspecialist ด้านงานentertainment production

(ไว้จะค่อยมาเขียนเพิ่มเติม)

แม้วันนี้ก็ไม่ได้เป็นวันที่ผมรุ่งเรื่องอะไร อาจจะเริ่มมีความชัดเจนขึ้นบ้าง
แต่แค่รู้สึกอยากขอบคุณคนเหล่านี้มากๆ
ไม่ว่าใครจะจบกันไปดีไม่ดี เข้าใจกันบ้างไม่เข้าใจกันบ้าง
แต่ทุกคนมีความสำคัญ ผมอยากจะขออภัยทุกคน ถ้าได้ล่วงเกินไปอย่างตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ
แต่ทุกคนคือความสำคัญในชีวิต และเป็นคนที่มีพระคุณกับชีวิตผมทุกคน

นอกจากครอบครัว พ่อและ แม่
ผมจะลองไล่ดูนะว่ามีใครบ้าง

ต้น ปอย หนุ่ย เอ๋ย
ลูกหยี ชิง เตือน
น้ำ นก เก้ง กิฟท์ อ้อม จูน พี่ลัดดา
เปิ้ล นินิ สิต กิม เข็ม แจ็ค ก้อง นะ เล็ก พ้ง
มาส ดิว pipe ปู พี(พีระพัฒน์) ที


นุ่น น้ำหนึ่ง ขวัญ

จนมาถึง
เบียร ปัท แจ๋ว ปิ๊ง เอม ฝน

กราบขอบคุณจากใจ
วันนี้ผมไม่เคยโกรธใครแล้ว
......ถ้าเจอกัน ทักทายกันนะ(บอกตัวเอง)

เพิ่งเข้าใจว่า ทำไมต้องเป็น "รักบี้"

เมื่อวานซืนได้บังเอิญเปิดไปเจอ รักบี้ ชิงแชมป์โลกอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่นั่งดูอย่างตั้งใจ
นั่งทบทวนความรู้สมัยปีหนึ่ง การทำรัก ทำโมล ไลน์ซ้าย ไลน์ขวา เตะ
เพิ่งรู้ว่าตัวเองเล่นรักบี้ไม่เคยเป็นเลย ตอนอยู่ในสนามไม่เห็นเข้าใจอะไรสักอย่าง
เอาแต่จะคว้าบอลแล้ววิ่งปรู๊ดดด เข้าไปทำไทร์ ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ และการแข่งขัน
ตอนนี้มาดูอีกทีก็พอจะเข้าใจการเล่นที่มันค่อนข้างมีกติกาและทุกคนก็เล่นกันอย่างมีระบบระเบียบ
ระหว่างที่นั่งดูก็มีความรู้สึกว่าเกมมันช่างต่อเนื่องและไหลเรื่อยๆโดยมีกลุ่มนักกีฬาที่ทำงานไปเป็นระบบ คนนึงล้มอีกคนเคลียร อีีกคนเก็บบอล อีกคนโยน อีกคนเตะ ไปเรื่อยๆแบบนี้
ทั้งหมดนี้ก็ทำให้อยู่ๆก็เข้าใจว่า ทำไม พี่พี่คณะสถาปัตย์ เค้าถึงให้เล่นกีฬารักบี้
เคยมีพี่บอกมาว่ามันเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความสามัคคีกันมากที่สุดและน้อยคนเล่น ทำให้เหมือนน้องทุกคนเหมือนเริ่มต้นใหม่กันหมด และพี่ที่เรียนมาก่อนก็มักจะเก่งกว่า ซึ่งในข้อหลังผมเชื่อ เพราะมันทำให้เกิดระบบ seniorityซึ่งผมก็เข้าใจได้ แต่ตอนเด็กก็ไม่เข้าใจว่ามันสามัคคียังไง เตะบอลก็ต้องสามัคคี วอลเล่ย์ก็สามัคคี อเมริกันฟุตบอลก็สามัคคี

พอดูครั้งนี้ ก็ถึงบางอ้อ ว่าจริงๆด้วย กีฬานี้เป็นกีฬาที่สามัคคีมาก นักกีฬาจะอยู่ก็กลุ่มเพราะกฎต่างๆทำให้การเคลื่อนที่ต้องไปด้วยกัน เพื่อนร่วมทีมไม่สามาถวิ่งไปรอไกลๆเพื่อเอาบอล เพื่อนร่วมทีมไม่สามารถวิ่งไปเดี่ยวๆได้บ่อยเพราะเวลาล้มมันต้องมีคนเข้าไปช่วย แม้จะเตะบอลก็ต้องวิ่งนำเพื่อนๆไปก่อน คนอื่นถึงจะไปเอาบอลได้ การตั้งรับก็ต้องวิ่งเป็นแผงไม่ให้เกิดช่องว่าง การเข้าสกรัมก็ต้องออกแรงให้เท่าๆกันทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้สกรัมหมุน(อันนี้เดาเอา เพราะไม่เคยเล่นกองหน้า)

ยิ่งดูยิ่งคิดชื่นชมคนที่เอากีฬานี้มาใช้กันคณะเรา เพราะมันไม่ใช่กีฬาบ้าพลัง
ไม่ใช่กีฬามั่วซั่ว ไม่ใช่กีฬาไม่ใช้สมอง ไม่ใช่กีฬาแห่งการเลาะโคลน
 แต่มันเป็นกีฬาแห่งความสามัคคี  ผมจบมาแล้วกว่า 15 ปี เพิ่งเข้าใจคุณความดีของมันวันนี้
และก็อยากให้สิ่งนี้ได้สอนต่อๆกันไป สอนกันให้ถูกต้องเพราะมันเป็นสิ่งที่ดี
ว่าไปแล้วก็รู้สึกว่า.....ปีหน้าไปรักบี้สตูดีกว่า

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

38ปี ผ่านไปแต่เหมือนยังคงวิ่งตามอะไรบางอย่าง

หลังคอนเสิร์ต6 2 13 dance fever
ก็ป่วยกระเสาะกระแสะเป็นเวลาจะสองสัปดาห์
เล่จเกมส์ดึกดื่น จนเบื่อเลิกกเล่นก็แล้ว
ก็ยังคงนอนวันละสองสามชั่วโมง ไม่อยากนอนนอนแล้วก็เผลอตื่นบ่อยๆ

เป็นช่วงชีวิตที่นั่งคิดว่า พลังในการทำอะไรมันต่ำลงมาก
ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด หรือชีวิตส่วนตัวมันชวนให้ปวดหัวและเหนื่อยใจ
แต่ลึกๆรู้สึกเหมือนชีวิตต้องหาอะไรบางอย่างซึ่งก็ยังหาไม่เจอ

เป็นช่วงที่รู้สึกว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างให้ชีวิตมีพลังกว่านี้
เหมือนเรือเล็กจะต้องออกจากฝั่งอีกครั้ง อาจจะต้องทิ้งอะไรบางอย่าง
เพื่อให้การเดินทางคราวนี้มีความมุ่งมั่นกว่านี้
...แต่จะเดินทางไปไหนดี....

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Do we see things the same?

ตลอดเวลาตัั้งแต่สมัยเด็กๆผมครุ่นคิดอยู่เสมอ. ถ้าเราสอนลูกให้เรียกสีแดงที่เราเห็นว่าสีเขียว
สอนให้เรียกก้อนหินว่าฟางข้าว สอนให้เรียกรสหวานว่ารสเค็ม
ลูกเราพอไปถึงโรงเรียนจะงงมั้ย สังคมในโรงเรียนจะทำอย่างไรกับลูกเรา และลูกเราจะออกมาเป็นอย่างไร
จะเชื่อเรามั้ย จะสับสนแค่ไหน และจะปรับตัวอย่างไร

แต่สิ่งที่คิดนั้นคงยังไม่ได้ทำง่ายๆเพราะหนึ่งคือผมยังไม่มีลูก หรือแม้แต่เมียก็ยังไม่มีเลย(คิดข้ามขั้นไปมาก)
และถึงแม้จะมีลูกแล้ว เมียผมคงขวางไม่ให้ผมทดลองอย่างนั้นกับลูกผมเอง(ซึ่งก็ลูกเค้าด้วย) อย่างแน่นอน

แม้จะยังไม่ได้ทดลองไปแต่การคิดจากวัยเด็กนั้นผมได้รับการตอกย้ำว่าการที่เราเห็นอะไรนั้นเป็นการสอนกันมาทั้งนั้น
โดยเฉพาะจากวิชาชีพผมเอง ผมทำงานอยู่บนความสวยงาม หลายครั้งที่ผมต้องอยู่บนความขัดแย้งกันของคำว่าสวยงาม
คือคนนึงว่าสวยอีกคนนึงว่าไม่สวย คนนึงว่าสีเข้ากันอีกคนว่าสีไม่เข้ากัน อะไรแบบนี้มากมายหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่าจริงๆแล้วคนเราเห็นอะไรเหมือนกันจริงมั้ย

สีแดงที่ว่าแดง ถ้าอยู่ในร่างกายอีกคนจะเห็นเหมือนกันมั้ย หน้าตาผมมองตัวเองเหมือนหน้าตาคนอื่นมองผมมั้ย
อย่างที่เรารู้ว่าภาพทีเราเห็นเกิดจากการตกกระทบของแสงเข้าสู่ตาเรา ตาเรารับข้อมูลไปประมวลผลในสมอง
แต่เรารู้ได้อย่างไรว่าทุกคนประมวลเหมือนกัน เท่ากันเป๊ะๆ
ขาแขนนิ้วยังหน้าตาไม่เหมือนกัน ยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับสมองและเส้นประสาทที่แต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน
กล้ามเนื้อของ โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ น่าจะเคื่อนไหวได้เร็วกว่าคนทั่วไปอันนี้เราเห็นเป็นรูปธรรมแต่จริงๆแล้วประสาทตา
ของโรเจอร์อาจจะเร็วกว่าเราทำให้เค้าเห็นลูกเทนนิสเคลื่อนไหวช้ากว่าเราก็เป็นได้ เค้าจึงตอบสนองได้ดีกว่าเรา
อันนี้ไม่มีใครทราบได้เพราะไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่ผมเชื่อว่ามันไม่เท่ากันแน่นอน

ซึ่งเมื่อแปลได้ดังนี้ผมว่าหน้าของเราทุกคน สีผิวของเราทุกคนอาจจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะๆในตาของแต่ละคน
จึงเป็นที่น่าสนใจมากว่าหน้าตาของเราเมื่ออยู่ในตาคนอื่นมันเป็นอย่างไร
เราคงไม่สามารถรู้ได้ตราบใดที่เรายังไม่สามารถสลับร่างกายกับคนอื่นได้
แต่ผมว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่ชวนให้คิดว่าในตาของเรา เราเห็นเหมือนหรือคนอื่นแตกต่างกันแค่ไหน

และเมื่อเข้าใจเช่นนี้ มันจะสะท้อนออกไปสู่เรื่องต่างๆ ที่ใหญ่กว่านั้นว่าการตัดสินใจหรือฟันธงอะไรไปนั้นว่ามันดี มันถูกต้อง
หรือมันผิดมันเลว จริงๆแล้วมันก็เป็นเพียงในมุมมองของเราเท่านั้น หาใช่ในมุมมองของคนอื่นไม่  เพราะขนาดของสิ่งเดียวกันคนเราทุกคนยังเห็นออกมาไม่เหมือนกันเลย
นับประสาอะไรกะเรื่องอื่นๆทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ เพราะคำว่าบรรทัดฐานในโลกมันเป็นสิ่งที่ไม่จริงเพราะท้ายสุดในบรรทัดฐานนั้นๆ เราก็ต้องเอาตัวเราเป็นไม้บรรทัดในการวัด และตัวเราแต่ละคนนั้นก็เห็นและเข้าใจอะไรไม่เท่ากันและไม่เหมือนกันเลยอยู่เลย

ว่าแล้วก็อยากทำนิทรรศการศิลปะสักชุด ว่าคนเรามองคนหน้าตาเป็นอย่างไร
คุณอภิสิทธิ์เห็นหน้าคุณทักษิณเป็นอย่างไร
คุณสุเทพเห็นหน้าคุณทักษิณเป็นอย่างไร
คุณจตุพรเห็นหน้าคุณทักษิณเป็นอย่างไร
คุณอริสมันต์เห็นหน้าคุณทักษิณเป็นอย่างไร
จะเห็นเหมือนผมเห็นมั้ย
...แล้วคุณละจะเห็นเหมือนกันแค่ไหน?

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สวัสดีครับ ผมกลับมาแล้ว