หัวข้อนี้มันก็คงเกี่ยวกับเรื่อง brand ซึ่งเป็นส่วนที่ผมสนใจอยู่มาก เรื่องว่าเชื่อเลยก็ได้
เรื่องของเรื่องเริ่มจากว่า เมื่อสักสัปดาห์ก่อน ผมได้ไปนั่งกินกาแฟที่Starbucks สยาม
(สาขาที่share พื้นที่กับK BANK) ก็ได้เจอพนักงานที่เคยประจำอยู่ที่สาขาAll season
ย้ายมา ก็เลยได้ทักทายกัน ผมถามว่า ย้ายมานานแล้วเหรอ เค้าบอกว่า ก็สักพัก แต่เดือนหน้าที่นี่
ก็จะปิดแล้ว ผมก็เลยเอ๊ะใจ ลองถามว่า K Bankจะเอาคืนละสิ เค้าก็ตอบว่า "ใช่ครับ"
ก็เลยทำให้ผมวิเคราะห์เรื่องนี้ขึ้นมา
มองไปรอบๆ คนก็เยอะอยู่ แต่ปํํญหาที่เกิดคือ ผมว่าK bank รู้สึกได้ว่ามันไม่คุ้มเลย
เพราะตัวBankได้ประโยชน์น้อยมากจากการทำ ฺ Business partner กันแบบนี้
เพราะ เมื่อเป็นbusiness partnerกันก็ส่งผลให้มีbrand image มีความสัมพันธ์ต่อกัน
ตอนแรกที่รวมกัน เชื่อว่าKbankคงต้องการที่พักสำหรับคนมาทำธุรกรรมทางการเงิน
และต้องการยกระดับ Brand K bank โดยไปผูกกับ Global brandที่ร้อนแรงอย่างStarbuck
หรือไม่เค้าอาจจะคิดว่าBrand K bank กับ Starbucks อยู่ระดับใกล้เคียงกัน
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ การปิดของร้านstarbuckในครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์ถึง
การคิดเรื่องBrandingแบบผิวๆ ของTeam K bank
เพราะผมเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะไปด้วยกันได้ ยังไงก็ต้องเริ่มจากการมีobjectiveเดียวกัน
คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง ทั้งสองคนต้องมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน
คนเป็นอย่างไร Brand ก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อฝั่งนึงต้องการขายกาแฟ แต่อีกฝั่งต้องการใช้เป็นแค่support ของBrandตัวเอง
ทีนี้ก็ต้องมาดูกันว่า Brand ไหนแข็งแรงกว่า (ณ ที่จุดขายนั้น)
ท้ายสุด Starbucks ก็เป็นผู้ชนะ เพราะคนที่มาที่นั้น กว่า70-80% มาเพื่อนัดพบ พักผ่อน
และทานกาแฟ มิใช่มาทำธุรกรรมทางการเงินแต่อย่างใด
K bank อาจจะคิดว่าstarbuckเอาหน้าร้านด้านล่างเยอะไปจึงdevelopให้ มีพื้นที่ของธนาคารมาครึ่งนึง
แต่ท้ายสุด ก็พบว่านั่่นไม่ใช่ทางแก้ปัญหา เพราะBrand Starbucks (ณ จุดนั้น) แข็งแรงกว่าK bank
เป็นอย่างมาก ท้ายสุด K bankกลับกลายเป็นโดนกลืนไปหมด (ถ้าkbankไปpartner กับ กาแฟ local
ยี่ห้ออื่นผลลัพท์ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้)
แสดงให้เห็นถึงการทำ Business partner ที่ไม่ได้พิจารณา เรื่องobjective และ branding กันดีดี
ท้่ายสุดก็ต้องแยกจากกันไป แบบเสียเวลาทั้งคู่นั่นเอง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น